GLOBAL TRAVEL
เปิดประตูสู่ปากีสถาน ดินแดน “สวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชียใต้”
3 May, 2024
ในฤดูกาลที่ดอกไม้เบ่งบานในปากีสถาน เราพาคุณเดินทางไปทำความรู้จักตัวตนของประเทศนี้ และตอบทุกคำถามคาใจที่ใครหลายคนสงสัย ก่อนจะย่างก้าวเข้าไปเยือนดินแดนเปี่ยมมนตร์ขลังนี้กันดูสักครั้ง
น่ากลัวมั้ย...อันตรายหรือเปล่า? นี่เป็นคำถามแรกที่อยู่ในใจของเราเช่นกัน เมื่อคิดว่าอยากจะลองไปปากีสถานดูบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งเรื่องการแบ่งแยกดินแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน และความอ่อนไหวทางการเมืองของประเทศแวดล้อมนั้น ทำให้ปากีสถานกลายเป็นดินแดนที่มีภาพลักษณ์ของความไม่ปลอดภัยในสายตาของผู้คนภายนอก แต่การเปิดน่านฟ้าให้บินผ่านกันได้ตั้งแต่ปี 2019 รวมถึงพิธีเชิญธงลงจากเสาที่วากาห์ (Wagah Border Ceremony) ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี ณ จุดชายแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถาน และจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกเกือบ 2 ล้านคนต่อปีที่เดินทางมาเยือนประเทศนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าความตึงเครียดใดๆ ในปากีสถานกำลังคลี่คลายไปในทางที่ดีต่อใจมากขึ้น (แอบคิดว่าการนำเสนอข่าวผ่านสื่อบางเรื่องนั้น ดูจะสร้างสถานการณ์ให้ประเทศนี้ดูแย่เกินเรื่องอยู่) อย่างไรก็ตาม หากจะเอาให้สบายใจ ปากีสถานฝั่งตะวันออกกับทางตอนเหนือที่ติดอินเดียและจีน ดูจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยกว่าฝั่งอื่น
ไปยังไง…เดินทางแบบไหน? ปัจจุบันการบินไทยมีไฟล์ทบินตรง 3 เส้นทางคือ กรุงเทพฯ-อิสลามาบัด, กรุงเทพฯ-ละฮอร์, กรุงเทพฯ-การาจี ใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง สามารถขอ E-Visa ทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย การเดินทางระหว่างเมืองมีทั้งแบบโดยสารสายการบินภายในประเทศ ซึ่งดีเลย์และแคนเซิลได้ตลอดเวลา การเดินทางโดยรถจึงเป็นทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับการท่องเที่ยวระหว่างเมืองในประเทศนี้ แม้ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บนรถกันอย่างยาวนาน (และจะนานขึ้นไปอีกหากเกิดหินถล่มขวางถนนซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา) แต่วิวภูเขาหินสองข้างทางที่เกินเหตุไปมากนั้น ทดแทนความเมื่อยล้าได้ดีแบบสุด หากจะนับการนั่งรถว่าเป็นการท่องเที่ยวซ้อนการการท่องเที่ยวอีกที ก็ถือว่าคุ้ม! ร่างกายที่พร้อมและการมีไกด์ท้องถิ่นที่ไว้ใจได้ไปด้วย คือสิ่งที่จำเป็นต้องมี
แลนด์สเคปสวยๆ ของปากีสถาน
Badshahi Mosque มัสยิดที่โดดเด่นที่สุดแห่งเมืองละฮอร์
อากาศเย็นสบายที่มาพร้อมดอกไม้เบ่งบานทั่วเมืองในช่วงเดือนมี.ค. - เม.ย.
ธรรมชาติแบบตะโกน: 4 จุดปักหมุดที่สวยจนต้องร้องขอชีวิต! สืบความจากไกด์ท้องถิ่น ขอลายแทงที่เที่ยวห้ามพลาดและกิจกรรมที่ต้องทำมาได้ดังนี้
1.Isalamabad - ชมมัสยิดที่เป็นศูนย์กลางแห่งเมืองอิสลามาบัด เมืองหลวงอิสลามาบัดเป็นที่ตั้งของมัสยิดไฟซาล (Faisal Mosque) ชาวมุสลิมใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ สร้างเป็นของขวัญโดยกษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบีย (King Faisal) ด้านในจุคนได้ถึง 10,000 คน และบริเวณรอบนอกจุคนเพิ่มได้ถึง 200,000 คน อิสลามาบัดเป็นเมืองหลวงที่มี Margalla Hills National Park ซึ่งเป็นที่ตั้งของเชิงเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในจุดเริ่มต้นของความอลังการแห่งเทือกเขาของประเทศนี้
อากาศเย็นสบายที่มาพร้อมดอกไม้เบ่งบานทั่วเมืองในช่วงเดือนมี.ค. - เม.ย.
2.N-35 Karakoram Highway - เดินทางบนทางหลวงสายคาราโครัม ตอนเหนือของปากีสถานมี “คาราโครัมไฮเวย์” ความยาว 1,300 กม. (800 กม. อยู่ในเขตแดนปากีสถาน อีก 500 กม. อยู่ในเขตแดนจีน) เริ่มจากเมืองแอบบอตตาบัด (Abbottabad) ผ่านเมืองและทิวทัศน์ตลอดเส้นทางที่สวยตะลึง รวมถึงหวาดเสียวกับเส้นทางเลียบหุบเขาเหวลึกให้ลุ้นกันเป็นระยะ ไปยังเขตปกครองตนเองกิลกิต-บัลติสถาน (Gilgit-Baltistan) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังอุทยานแห่งชาติคุนจีราบ (Khunjerab National Park) ไต่ระดับความสูง 4,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เพื่อไปบรรจบกับประตูสู่ชายแดนประเทศจีน ในอดีตทางหลวงนี้เป็นเส้นทางสายไหม จุดตัดวัฒนธรรมเปอร์เซีย จีน อินเดีย ทิเบต สู่ยุโรป (เส้นทางนี้หากเดินทางแบบไม่พักเลย จะใช้เวลาขับรถประมาณ 14 ชั่วโมง) และแน่นอนว่าจุดพักกับถนนสายอื่นๆ ที่เชื่อมระหว่างทางไฮเวย์สายนี้ก็ปังจนต้องแวะทักทายกันสักหน่อย ทั้งหมู่บ้านกัลมิต (Gulmit Village) ที่พอเริ่มหมดหนาว ดอกไม้จะบานสะพรั่ง เป็นที่ตั้งของสะพานแขวนฮุสไซนี (Hussaini Bridge) ที่ยาวและอันตรายที่สุด ทะเลสาบอัตตาบัดสีเขียวมรกต (Attabad Lake) รวมถึงจุดชมวิวที่มี 3 เทือกเขาสูงที่สุดในโลกมาบรรจบกันสุดอลังการ ทั้งคาราโครัม หิมาลัย และฮินดูกูช
เทือกเขาคาลาโครัมและหิมาลัยที่ยังถูกปกคลุมด้วยหิมะในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
3.K2 - Nanga Parbat Base Camp Trek - เดินเท้าขึ้นเขานังกาปาร์บัต ดินแดนตอนเหนือของปากีสถานเป็นที่ตั้งของนังกาปาร์บัต (Nanga Parbat) ยอดเขา K2 สูงเป็นอับดับ 2 ของโลกที่อันตรายที่สุดในบรรดายอดเขา 8,000 เมตรอัป ที่นักปีนเขาและนักเทร็กปักหมุดให้เป็นหนึ่งใน Dream Destination ที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง อย่างไรก็ตาม ความแลนด์สเคปและเทือกเขาหลากวิว หลายอารมณ์ รอบๆ นังกาปาร์บัตในเมืองกิลกิต (Gilgit) นั้นเดินได้ไม่ซ้ำ เดินได้แบบฉ่ำ มีให้เลือกทั้งระยะสั้นและระยะไกล (K2 Base Camp ใช้เวลา 8-10 วัน, Nanga Parbat Base Camp ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง) แบบที่เดินง่ายๆ พอหายใจหอบเบาๆ อย่างเส้นทางเดินขึ้นธารน้ำแข็งพาสสุ (Passu Glacier) ในเมืองฮุนซา (Hunza) ซึ่งเป็นเมืองติดกันกับเมืองกิลกิต ก็เป็นจุดเช็กอินที่ไกด์ท้องถิ่นแนะนำเช่นกัน
อากาศเย็นสบายที่มาพร้อมดอกไม้เบ่งบานทั่วเมืองในช่วงเดือนมี.ค. - เม.ย.
4.Swat Valley - สูดอากาศฉ่ำปอดในดินแดนแห่งหุบเขาสวาต ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งปากีสถาน สายเดินป่า ล่องเรือ ตกปลา แคมปิงต้องเช็กอินเมืองนี้ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวคือเดือนเม.ย.- พ.ค. ที่นี่มีป่าสนอุชุ (Ushu) ทะเลสาบมาโฮดาน (Mahodand Lake) ความยาว 35 กม. ให้ผู้มาเยือนได้ล่องเรือตกปลาเพลินๆ และในฤดูกาลแห่งดอกไม้บานช่วงสปริง ทุ่งดอกไม้ที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งเขตนี้จะผลิดอกสีสดใส บานสะพรั่งแข่งกับสีเขียวมรกตของธารทะเลสาบที่อยู่โดยรอบ แบบสะกดให้ลืมหายใจกันได้เลย!
อาหารและบรรยากาศของวิถีชีวิตแบบชาวปากีสถาน
คนและอาหารล่ะ? ภาพรวมของผู้คนประเทศนี้เป็นมิตร ใจดี น่ารัก สดใหม่ไร้สารสังเคราะห์! แต่ก็มีบางจุดบางเมืองที่ผู้คนอาจไม่ได้อยากให้ยุ่งกับเขาเท่าไหร่ (อันนี้ก็ต้องเข้าใจและเคารพพื้นที่ส่วนตัวกัน) ส่วนอาหารคืออาหารแขกที่เราว่าคนไทยคุ้นเคยกันประมาณหนึ่งอยู่แล้ว มีข้าว มีแป้ง มีเนื้อสัตว์ทุกมื้อ (หากพกน้ำพริกไปแจมกับข้าวของเขาก็จะเป็นความสบายตัว ถ้าแพลนทริปไว้ยาวนานหลายวัน) และโรงแรมดีๆ มีให้เลือก อย่างไรก็ตามห้องน้ำระหว่างทางก็อาจจะเป็นความท้าทายสำหรับบางคนอยู่ทีเดียว!
แล้วควรไปเดือนไหนดี?
มี.ค.-เม.ย. คือฤดูกาลแห่งดอกไม้บานสะพรั่ง อากาศดี แดดอ่อนโยน ต.ค.- พ.ย. ฤดูกาลแห่งใบไม้เปลี่ยนสี ท้องฟ้าโปร่ง อากาศเย็นสบาย แต่ถ้าเลือกไปช่วงซัมเมอร์ในเดือน มิ.ย.- ก.ย. จะเป็นบรรยากาศการท่องเที่ยวของผู้คนในประเทศ ซึ่งก็เป็นสีสันอีกรูปแบบหนึ่ง
คำถามสุดท้าย...จะไปกี่โมง? …นี่เป็นคำถามที่เราขอถามคุณกลับบ้างแล้วล่ะ!
Source Credit: be-compass.com, facebook.com/muzerdunn Photo Credit: Mosque by Shutterstock
#APThai #APHome #SpaceThinker #GlobalTravel
PRESENTED BY